รักษาฝ้าและจุดด่างดําด้วย 6 วิธี ไม่มีอันตราย ทำได้ด้วยตัวเอง!

Author

Categories

Share

รักษาฝ้าและจุดด่างดําด้วย 6 วิธี ไม่มีอันตราย ทำได้ด้วยตัวเอง!

รักษาฝ้าและจุดด่างดําด้วย 6 วิธี ไม่มีอันตราย ทำได้ด้วยตัวเอง! สำหรับสาวๆ ที่กำลังมีปัญหาเรื่องฝ้า กระ หรือว่าจุดด่างดำบนใบหน้า และอยากที่จะรักษา วันนี้เรามีวิธีมาฝากกัน เป็นวิธีง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้เองที่บ้านค่ะ ก่อนอื่นเรามารู้จักกับ ฝ้า กันก่อน เพราะถือเป็นการรักษาที่ทำได้ยากว่าปัญหาจุดด่างดำอื่นๆ โดยฝ้านั้นมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลเข้มจนถึงสีดำบริเวณใบหน้าและตรงบริเวณโหนกแก้มของเรา ฝ้าเกิดจากความผิดปกติของบริเวณเม็ดสีใต้ผิวหนังค่ะ เพราะเม็ดสีนั้นสร้างมากเกินไป จึงทำให้เห็นเป็นสีแตกต่างจากผิวบริเวณอื่นค่ะ

1. ใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Niacinamide และ AHA

Niacinamide (ไนอะซินาไมด์) คือรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 ที่ร่างกายและผิวหนังของเราต้องการ แต่ไม่สามารถผลิตเองได้ ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว เติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัยและดูสดใสขึ้น

AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids (กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี) เป็นกลุ่มของกรดจากธรรมชาติที่ได้จากผลไม้รสเปรี้ยว เป็นส่วนผสมที่สามารถละลายน้ำได้ จึงมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวและเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ช่วยลดฝ้าแดดและลดจุดด่างดำ เราขอแนะนำ Olay Luminous Niacinamide + AHA Super Serum (Olay AHA) เลยค่ะ

สกินแคร์ตัวใหม่ของโอเลย์ที่ผสานเทคโนโลยีล้ำหน้า Niacinamide + AHA ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการซึมซาบล้ำลึก เนื้อเซรั่มบางเบาและซึมเร็ว สามารถช่วยลดเลือนรอยด่างพร้อยต่างๆบนใบหน้าได้อย่างตรงจุด เช่น ลดเลือนฝ้าแดด รอยสิวและจุดด่างดำที่แก้ยากบนผิวหน้า ทำให้ผิวกระจ่างใสและเรียบเนียน ไม่อุดตันรูขุมขน ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่มีส่วนผสมของพาราเบน, ซัลเฟต, มิเนอรัล ออยล์, พาทาเลตและปิโตรลาทัมอีกด้วยค่ะ

2. ใช้ยากลุ่ม Tretinoin 

ยาที่ใช้ในการรักษาฝ้าและจุดด่างดำ จะเป็นยาที่หาซื้อได้ตามร้านยาทั่วไปค่ะ โดยกลุ่มแรกคือ กลุ่ม Tretinoin (อนุพันธ์วิตามินเอ) ซึ่งกลไกของวิตามินเอจะเข้าไปทำให้เซลล์ผิวของเราผลัดตัวได้มากขึ้น เมื่อผิวหนังผลัดตัวออกไป เม็ดสีก็จะออกตามไปพร้อมกับผิวหนังเรา ทำให้ฝ้าแลดูจางลง

ข้อดีของยากลุ่มนี้ก็คือค่อนข้างปลอดภัย และนอกจากจะรักษาฝ้าได้แล้ว ยังสามารถรักษาสิวด้วยค่ะ แต่ข้อเสียของยากลุ่มนี้ก็มีเหมือนกันค่ะ คือระยะเวลาในการรักษาต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าที่ฝ้าจะจางลงจนเห็นชัดเจน อาจจะใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน – 1 ปีเลยทีเดียว และไม่ควรใช้ในผู้หญิงตั้งครรภ์ เพราะว่าส่งผลถึงทารกในครรภ์ได้

3. ยากลุ่ม Azelaic Acid

ยากลุ่มที่ 2 คือยากลุ่ม Azelaic Acid ยากลุ่มนี้จะมีความเป็นกรดนิดๆ กลไกของยากลุ่มนี้จะไปทำให้ผิวหนังของเราผลัดตัวเองได้เร็วขึ้นและตัวยาเองก็มีฤทธิ์ต่อเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีขึ้นมา ทำให้ลดการสร้างเม็ดสีลง ทำให้ผิวหน้าของเรามีสีปกติได้เร็วขึ้น แต่ว่าข้อเสียของยากลุ่มนี้ก็คือ ตัวยานั้นมีความเป็นกรดอยู่ค่ะ อาจจะมีอาการแสบระคายเคืองหน้าได้ และระยะเวลาในการรักษาก็นานพอๆ กับกลุ่มแรกเลย คือใช้เวลาหลายเดือนจนถึงปีค่ะ

4. เวชสำอาง Thiamidol

เวชสำอางที่นิยมใช้ในการใช้รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำบนใบหน้า มีชื่อว่า Thiamidol โดยจะเข้าไปยับยั้งเอนไซม์ที่ชื่อว่า Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญที่ใช้ในการสร้างเม็ดสีขึ้นมา สามารถที่จะลดความหนาตัวของฝ้าและกระ รวมถึงจุดด่างดำได้ และป้องกันการเกิดซ้ำได้ด้วยค่ะ ข้อดีก็คือมีประสิทธิภาพดีกว่าเวชสำอางทั่วไป และหากใช้แบบเข้มข้นสูงก็ไม่ค่อยมีผลข้างเคียงอะไร ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์อยู่ก็สามารถใช้เจ้าตัวไทอามิดอลได้ ค่อนข้างปลอดภัยและไม่ได้ดูดซึมเข้ากระแสเลือด แต่ข้อเสียของตัวนี้ก็มีเหมือนกัน เนื่องจากเป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมา ฉะนั้นราคาอาจจะสูงกว่ายาตัวอื่นเล็กน้อยค่ะ

5. เลี่ยงแสงแดด

สาเหตุหลักของการเกิดฝ้าก็คือแสงแดดค่ะ ซึ่งวิธีรักษาและป้องกันก็คือการหลีกเลี่ยงแสงแดดให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ค่ะ ไม่ได้หมายความว่าห้ามออกจากบ้านเลยนะ แค่ว่าเวลาออกจากบ้าน เราอาจจะต้องเลี่ยงด้วยการไม่เดินกลางแดดนานๆ ถ้าเป็นไปได้ก็เดินในร่มหรืออาจจะใช้ร่มที่ป้องกันแสงแดดและรังษี UV เพื่อให้ร่างกายของเราไม่โดนแดดค่ะ

6. ใช้ครีมกันแดด 

ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF ไม่ต่ำกว่า 30 และต้องทากันแดดให้ได้อย่างถูกวิธีด้วยนะคะ กันแดดในท้องตลาดส่วนใหญ่ก็เกิน 30 อยู่แล้ว ซึ่งสามารถป้องกันรังสี UV ได้ถึง 98 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนใหญ่ที่เราพลาดกันเลยก็คือ เราทากันแดดผิดวิธีค่ะ บางคนอาจจะทากันแดดได้ไม่เพียงพอ บางคนบีบครีมกันแดดมาน้อยเกินไปแล้วพยายามทาทั้งตัว แบบนี้ไม่ช่วยป้องกันแสงแดดค่ะ การทาครีมกันแดดให้ได้อย่างถูกวิธี ต้องบีบครีมกันแดดให้ได้ปริมาณอย่างน้อย 2 ข้อนิ้ว และทาไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายค่ะ ยกตัวอย่างเช่น 2 ข้อนิ้วทาใบหน้า  2 ข้อนิ้วทาแขน 1 ข้าง ทำแบบนี้ไล่ไปเรื่อยๆ จนครบทุกส่วนของร่างกาย และที่สำคัญเลยก็คือจะต้องเติมครีมกันแดดทุกๆ 4-6 ชั่วโมงด้วย เพราะว่าระหว่างวันที่เราไปทำงานหรือว่าไปทำกิจกรรม จะทำให้ครีมกันแดดจางลงตามเวลา ฉะนั้นเราควรจะต้องมีการเติมครีมกันแดดระหว่างวันด้วยค่ะ

บทความที่คุณอาจสนใจ howto4you

Author

Share