วิธีทานอาหารเพื่อสุขภาพ สุขภาพดี แบบชาวญี่ปุ่น

Author

Categories

Share

วิธีทานอาหารเพื่อสุขภาพ ด้วยสูตร 1975Diet แบบชาวญี่ปุ่น

วิธีทานอาหารเพื่อสุขภาพ ด้วยสูตร 1975Diet แบบชาวญี่ปุ่น

ทุกๆคนคงจะรู้กันดีว่าชาวญี่ปุ่น เป็ชนชาติที่อายุยืนยาวมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก อยากรู้กันมั๊ยว่าเพราะอะไร วันนี้เรามาเรียนรู้ วิธีทานอาหารเพื่อสุขภาพ ด้วยสูตร 1975Diet แบบชาวญี่ปุ่น

ทำไมต้องชื่อว่า 1975 Diet?

การรับประทานอาหานของชาวญี่ปุ่นได้เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย เพราะมีตัวแปรที่สำคัญอย่างอิธพลจากตะวันตกเข้ามาเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจจะรวมไปถึงการปรุงอาหารต่างๆอีกด้วย และวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหารของชาวญี่ปุ่นก็เปลี่ยนไปด้วย และเมื่อเปรียบเทียบเมื่อปี 2005 ซึ่งเป้นยุคมิลเลเนียมนั้น และในช่วปี 1975 และปี 1990 จะมีอาหารที่ได้มาจากไขมันของเครื่องในสัตว์น้อยกว่า และยังมีผุ้ป่วยที่เป้นโรคอ้วนน้อยกว่า ซึ่งในปี 1975 จะพบผุ้ป่วยโรคเบาหวาน ไขมันพอกตับ น้อยที่สุด เพราะเนื่องจากอาหารการกินของคนในยุคนั้น จะเน้นไปที่อาหารที่มีความสดใหม่ มากกว่าอาหารสำเร็จรูป อาหารกระป่อง และอาหารที่ผ่านกรรมวิธีต่างๆนั่นเอง

การกินอาหารแบบ 1975 Diet

การรับประทานอาหารในยุค 1975 จะเน้นผักผลไม้ พืชตระกูลถั่ว สาหร่าย เครื่องเทศต่างๆ และการดื่มน้ำผลไม้และเครื่องดื่มต่างๆที่มีรสหวานจัด ก็ย่อมน้ออยกว่าคนในยุคอื่นๆ

เคล็ดลับของการกินแบบ 1975 Diet คือ

  1. ใน 1 มื้อ มีอาหารครบ 5 หมู่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ และวิตามิน
  2. ใช้วัตถุดิบในการประกอบอาหาร 1 มื้อค่อนข้างหลากหลาย จะสังเกตได้ว่าอาหารของคนญี่ปุ่นจะเน้นความหลากหลายมากกว่าปริมาณ คือกินหลายอย่าง อย่างละนิดละหน่อย จัดเป็นชุดๆ สำหรับคน 1 คน
  3. เน้นการปรุงอาหารแบบตุ๋น ต้ม นึ่ง ย่าง หรือกินสดๆ
  4. เน้นโปรตีนจากปลา เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วอื่นๆ และเห็ด
  5. เลือกรับประทานผักหลากหลายสี เพื่อให้ได้วิตามิน และสารอาหารที่แตกต่าง
  6. ปรุงรสด้วยวัตดุดิบจากธรรมชาติ เช่น การต้มซุปจากปลาแห้ง หรือสาหร่าย
  7. นอกจากนี้ยังเน้นการปรุงรสอาหาร ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น มิโสะ (ที่เกิดจากการหมักด้วยถั่วเหลืองหรือข้าว และเกลือ) ซอสถั่วเหลือง น้ำส้มสายชู มิริน และสาเก

 

หากอยากสุขภาพดีเหมือนชาวญี่ปุ่น ลองกินอาหารแบบ 1975 Diet กันดูนะคะ ไม่จำเป็นต้องเป็นอาหารญี่ปุ่น อาหารไทยก็สามารถทำได้เช่นกัน

ติดตามอัพเดทข้อมูลข่าวสารและสาระดีๆเพิ่มเติมต่อได้ที่นี่ >> Howto4you

ขอบคุณข้อมูลจาก >> Sanook

 

Author

Share